"น้าเหม่ง" ประพล พงษ์พานิช เฮดโค้ช ยังจัดชุดใหญ่ดวลเกือกสิงคโปร์ โดยวาง รณชัย รังสิโย ล่าตาข่ายคู่กับ "เจ้ากร" ณธฤษภ์ ธรรมรสโสภณ แต่หาก "กร" ลงไม่ได้ จะส่ง "ทวน" อิสระพงษ์ ลิละคร เล่นแทน ด้าน "กาเซ็ม" เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีม ห่วงเรื่องสถิติ ยังไงก็ต้องเอาชนะให้ได้เท่านั้น พร้อมบอกด้วยว่าซีเกมส์ครั้งหน้าหากไทยอยากเป็นแชมป์ต้องเริ่มเตรียมทีมทันทีหลังจากเดินทางกลับถึงไทย
ความเคลื่อนไหวของทีมนักเตะไทยชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่ตกรอบแรก 2 ครั้งติดต่อกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ยังมีโปรแกรมการแข่งขันเหลืออีก 1 นัดกับสิงคโปร์ วันที่ 17 พ.ย. 2554 ที่สนามเกโลร่า บุง การ์โน่ (เสนายัน) เวลา 16.00 น.
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2554 ที่ผ่านมา ทัพนักเตะไทยได้ลงทำการฝึกซ้อมในช่วงเช้าบริเวณรร.สุลต่าน ซึ่งเป็นสถานที่พัก ก่อนจะรับประทานอาหารเช้าและแยกย้ายกลับเข้าพักที่ห้องของตัวเอง จากนั้นช่วงบ่ายได้ลงทำการฝึกซ้อมอีกครั้งที่สนามเสนายัน 2 โดยเน้นที่การเข้าทำเป็นหลัก ซึ่ง "เจ้ากร" ณธฤษภ์ ธรรมรสโสภณ กองหน้าตัวเก่งมีอาการบาดเจ็บต้องแยกซ้อมเพียงคนเดียว
ภายหลังการฝึกซ้อม "กาเซ็ม" เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีมได้เปิดเผยถึงเกมกับสิงคโปร์ว่าจะต้องเล่นเต็มที่เพื่อเรียกศรัทธาจากแฟนบอล นอกจากนั้นเรื่องของสถิติและศักดิ์ศรีเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ดังนั้นเกมนี้จะเล่นเหมือนเกมสำคัญเกมนึง
ทั้งนี้ "กาเซ็ม" ได้บอกถึงอนาคตของตัวเองหลังจากนี้จะขอเลิกยุ่งเกี่ยวกับการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมฟุตบอลอย่างเด็ดขาด เพราะรู้สึกอิ่มตัวมากๆ และยังเชื่อด้วยว่าในเมืองไทยมีผู้จัดการฝีมือดีๆ อีกมากมายที่รักฟุตบอลอย่างจริงๆ จังๆ พร้อมบอกด้วยว่าสาเหตุที่ตนเองทำฟุตบอลซึ่งมีทั้งความสำเร็จและล้มเหลวเกิดจากใจรักอย่างแท้จริงแม้รู้ว่าความล้มเหลวจะต้องแลกมาด้วยการโดนคนด่าทั้งประเทศก็ตาม
นอกจากนั้นผู้สื่อข่าวได้ถามถึงซีเกมส์ครั้งต่อไปว่า ทีมชาติไทยควรทำอย่างไรกับการกลับมาเป็นแชมป์รายการนี้ ซึ่ง "กาเซ็ม" ได้บอกหลังจากกลับประเทศไปคราวนี้ทางสมาคมฯ ต้องเริ่มจัดการเตรียมทีมทันที โดยเอาชุดเยาวชนไทย 19 ปีปัจจุบันเป็นแกนหลัก รวมถึงเฮดโค้ชที่ต้องสร้างทีมระยะยาว เพราะตอนนี้ทุกชาติมีการเก็บตัวกันเป็นแรมปี แต่สำหรับไทยอาจไม่สามารถเก็บตัวระยะยาวได้นานขนาดนั้น เพราะติดเรื่องโปรแกรมลีกและสโมสร แต่อย่างน้อยช่วงปีแรกเรียกมาฝึกซ้อมรวมตัวกันเดือนละ 2 ครั้งก็ยังดี และหาทีมจากต่างประเทศอุ่นเครื่องโดยเฉพาะทัวร์นาเมนต์ที่ต้องเอาทีมชุดเตรียมซีเกมส์ไปแข่งเพื่อเสริมประสบการณ์
"เราต้องเตรียมทีมทันทีเมื่อกลับถึงประเทศไทย ซึ่งทีมเยาวชน 19 ปีที่ได้สิทธิ์ชิงแชมป์เอเชียในปีนี้ที่มี "น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม เป็นเฮดโค้ช คือชุดแห่งความหวัง เพราะตอนนี้แฟนบอลทุกคนมองว่าทีมชุดนี้เล่นดี เพราะฉะนั้นควรผลักดันต่อไป และเอานักเตะที่มีประสบการณ์และเคยผ่านซีเกมส์มาแล้วอย่าง สารัช อยู่เย็น, ปกเกล้า อนันต์, อดิศักดิ์ ไกรษร ลงไปช่วย ซึ่งนั่นจะทำให้ทีมมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือเฮดโค้ช จะต้องให้โอกาสทำทีมระยะยาวเพื่อระบบทุกอย่างจะได้เป็นแนวทางเดียวกัน"
"กาเซ็ม" ได้ยอมรับอีกด้วยว่า ตนเองเคยคิดที่จะเว้นโควตาให้กับ "เจ้ามุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าหมายเลข 1 ทีมชาติไทย เพื่ออย่างน้อยมาช่วยทีมในเกมสุดท้ายของรอบแรก ทว่าสุดท้าย "เจ้ามุ้ย" มีอาการบาดเจ็บเสียก่อน ทำให้ล้มเลิกความคิดดังกล่าวไป
ด้าน "น้าเหม่ง" ประพล พงษ์พานิช เฮดโค้ชได้เปิดเผยว่า เกมกับสิงคโปร์จะใช้ผู้เล่นที่ดีที่สุดลงสนาม เนื่องจากสิงคโปร์ยังมีลุ้นเข้ารอบ เพราะฉะนั้นไทยจะแสดงให้เห็นว่าแม้จะตกรอบแรกไปแล้วแต่ยังสู้เต็มที่
สำหรับเกมกับสิงคโปร์ "น้าเหม่ง" จะพลาดการใช้งานของ 3 นักเตะอย่าง สารัช อยู่เย็น, ธีราทร บุญมาทัน, เอกสิทธิ์ ฉาวบุตร ที่ติดโทษแบน ขณะที่ วีระวุฒิ กาเหย็ม มีอาการบาดเจ็บ ทำให้เหลือนักเตะเพียง 16 คนเท่านั้น ส่วน ณธฤษภ์ ธรรมรสโสภณ ต้องเช็กความฟิตนาทีสุดท้าย หากลงสนามไม่ได้จะส่ง นฤพล อารมณ์สวะ ลงเล่นแทน
โดย 11 ผู้เล่นตัวจริงของทีมชาติไทยที่คาดว่าจะลงสนามพบกับสิงคโปร์ในระบบ 4-4-2 ประกอบไปด้วย ผู้รักษาประตู อุกฤษณ์ วงศ์มีมา, กองหลัง 4 คนจากขวา ซีเกต หมาดปูเต๊ะ, คมกฤช คำโสกเชือก, สุจริต จันทกล, ธนพล อุดมลาภ กองหลังจากขวา อิสระพงษ์ ลิละคร, ปกเกล้า อนันต์, อรรถพงศ์ หนูพรหม, เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ และคู่กองหน้า "เจ้ากร" ณธฤษภ์ ธรรมรสโสภณ จับคู่กับ "แซมมี่" รณชัย รังสิโย
ด้านสิงคโปร์อันดับ 3 ของตารางที่มี 4 คะแนน จาก 3 นัด ตามหลังมาเลเซีย อันดับ 2 อยู่ 3 แต้ม ทาง สโลโบดาน ปาฟโกวิช เฮดโค้ชชาวเซอร์เบียเตรียมส่งชุดใหญ่ลงสนามดวลกับแข้งไทย นำโดย มูฮัมหมัด ฟาริด, นาวิน วานู, ควาก จุน ยี่, มูฮัมหมัด เออร์วาน ฯลฯ ซึ่ง สโลโบดาน ปาฟโกวิช เปิดเผยว่า แม้ตอนนี้โอกาสเข้ารอบของ สิงคโปร์จะริบหรี่แต่ก็คงจะเล่นเต็มที่ และหวังเอาชนะไทยให้ได้ ส่วนจะเข้ารอบหรือตกรอบก็เป็นอีกเรื่องนึง
ทั้งนี้สิงคโปร์ยังมีลุ้นเข้ารอบหากชนะไทย และลุ้นให้มาเลเซียที่เตะทีหลังแพ้อินโดฯ ในสกอร์ที่ทั้งสองคู่มีผลต่างรวมกัน 5 ประตู จะทำให้แซงสิงคโปร์เข้ารอบทันที แต่หากสิงคโปร์แพ้หรือเสมอไทยจะทำให้สิงคโปร์ตกรอบแรกทันทีเช่นกัน
มีหวดสั่งลารอบแรกอีกสองคู่
สำหรับฟุตบอลซีเกมส์ ครั้งที่ 26 วันที่ 17 พ.ย. นี้ นอกเหนือจาก ไทย พบ สิงคโปร์ ยังมีแข่งขันอีก 2 คู แบ่งเป็นสาย เอและบีอย่างละคู่ ซึ่งเป็นการแข่งขันรอบแรกนัดสุดท้าย โดยสาย เอ ระหว่าง อินโดฯ พบกับ มาเลเซีย ที่สนามเกโลร่า บุง การ์โน่ (เสนายัน) เวลา 19.00 น. และสาย บี ลาว พบ เวียดนาม ที่สนามเลบัค บูรุส เวลา 16.00 น.
โดยคู่ระหว่าง "เจ้าภาพ" อินโดฯ พบกับ "แชมป์เก่า" มาเลเซีย เกมนี้อินโดฯ ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่มาเลเซียถือว่าค่อนข้างลอยตัว โดยคู่แรกหากสิงคโปร์ไม่ชนะไทยหรือชนะในสกอร์ที่ไม่ถึง 4 ประตู จะทำให้มาเลเซียเข้ารอบทันที ซึ่งการที่มาเลเซียเล่นทีหลังสิงคโปร์จะทำให้มีโอกาสเลือกว่าจะส่งผู้เล่นชุดไหนลงสนาม ซึ่งหากสิงคโปร์ไม่ชนะจะทำให้เกมนี้ทั้งสองทีมพักตัวหลักหลายคนเพื่อเก็บไว้เล่นรอบรองชนะเลิศในอีก 2 วันข้างหน้า
โดยผลงานที่ทั้งสองทีมพบกันในซีเกมส์ ปรากฏว่าเจอกัน 12 ครั้ง อินโดฯ ชนะสถิติชนะ 7 เสมอ 1 แพ้ 4 ได้ 20 เสีย 6
ส่วนคู่ระหว่าง ลาว พบกับ เวียดนาม คู่นี้ฝั่งลาวตกรอบแรกไปแล้ว ขณะที่เวียดนามก็เข้ารอบไปแล้วเช่นกัน ทว่าพวกเขาต้องการ 3 คะแนนเพื่อเข้ารอบ ในฐานะอันดับ 1 ของกลุ่ม เพื่อหนี "เจ้าภาพ" อินโดนีเซีย ซึ่งสถิติที่เคยพบกันในซีเกมส์ปรากฏว่าเจอกัน 9 ครั้ง เวียดนาม ชนะได้ถึง 8 ครั้ง และเสมอ 1 ครั้ง ไม่เคยแพ้ลาวแม้แต่ครั้งเดียว
ขออนุญาติฝากประชาสัมพันธ์นะค่ะ
♥ วันนี้ ทุกๆ Like ของท่านบน แฟนเพจ 12BET จะช่วยซับน้ำตาพี่น้องชาวไทยผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกท่าน โดยมอบผ่านองค์การสภากาชาดไทย ..
ร่วมเป็นหนึ่งแรงใจฟื้นฟูความเสียหายอุทกภัยครั้งใหญ่ จากใจ 12BET ♥
ยอดสมทบทุนทั้งหมด มอบให้สภากาชาติไทยและครอบครัวข่าวช่อง 3 ค่ะ
ร่วมเป็น 52,000 Like แรกกับเรากันนะค่ะ !!!
https://www.facebook.com/12BET.Thai
ขอบคุณค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น