วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สื่อปูดหงส์เล็งทาบโบอาชแทนคิงเคนนี่



ลือสนั่น ลิเวอร์พูล เตรียมเล็ง อันเดร วิลลาช-โบอาช เข้ามานั่งเก้าอี้นายใหญ่ แทน เคนนี่ ดัลกลิช หลังบอร์ดบริหารมองการณ์ไกล เห็นอนาคต "หงส์แดง" คงไปไม่รอด หากทีมอยู่ในมือของ "คิงเคนนี่" สู้ดึงกุนซือหนุ่มไฟแรงมาทำงานน่าจะมีอนาคตที่สดใสมากกว่า

        "เดลี่ เมล์" สื่อดังเมืองผู้ดี ตีข่าว "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล แสดงความสนใจอยากได้ตัว อันเดร วิลลาช-โบอาช อดีตผู้จัดการทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี เข้ามาแทนที่ เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือคนปัจจุบัน หลังมีแววว่า "คิงเคนนี่" น่าจะไม่ได้นั่งเก้าอี้นายใหญ่แห่งถิ่น แอนฟิลด์ ในฤดูกาลหน้า

        แม้ว่า กุนซือชาวโปรตุกีสจะไม่ประสบความสำเร็จกับการคุม "สิงห์บลูส์" ในซีซั่นนี้ แต่ด้วยผลงานที่เคยนำ เอฟซี ปอร์โต้ ประสบความสำเร็จ ทำให้ ลิเวอร์พูล แสดงความสนใจอยากได้ตัว วิลลาช-โบอาช มากุมบังเหียน "เดอะ เร้ดส์" แทน ดัลกลิช ที่แม้จะนำทีมคว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ แต่ผลงานในลีกที่พลาดตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สร้างความผิดหวังให้กับบอร์ดบริหารอย่างมาก

        เหตุผลที่ ลิเวอร์พูล สนใจ วิลลาช-โบอาช นั่นก็เพราะเจ้าตัวเป็นผู้จัดการทีมคนหนุ่มไฟแรง รวมทั้งยังเหมาะกับการบริหารงานในยุคใหม่ของ "หงส์แดง" และนั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ว่า ทำไมอดีตกุนซือ ปอร์โต้ และ เชลซี ถึงเหมาะที่จะมาคุมทีมที่สุด

ขัดใจแฟน!ผียันใช้เสื้อลายหมากรุกซีซั่นหน้า



"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หาเรื่องขัดใจแฟนเสียแล้ว หลังจากยืนยันว่าจะใช้เสื้อหลายหมากรุกเป็นชุดแข่งใหม่สำหรับฤดูกาลหน้า ทั้งที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายสำหรับดีไซน์ลายหมากรุกจากการที่มีภาพหลุดออกมาในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว


        แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มหาอำนาจลูกหนังเวทีพรีเมียร์ลีก ออกมายืนยันแบบกลายๆว่าจะเปลี่ยนเสื้อแข่งใหม่เป็นลายตาหมากรุกสำหรับการลงเล่นในฤดูกาล 2012-2013 โดยพวกเขาจัดการโพสต์รูปชุดแข่งดังกล่าวผ่านทางหน้าเพจเฟซบุ๊คของสโมสร เมื่อวันอังคารที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา

        สำหรับรูปชุดแข่งใหม่ของ "ปีศาจแดง" ในเฟซบุ๊คของสโมสร มีข้อความบรรยายข้างภาพว่า "ในปี 1878 แมนเชสเตอร์ เป็นหัวใจสำคัญในการปฏิวัติด้านอุตสาหกรรม โรงงานเหล็กและโรงงานผลิตสำลีครองความยิ่งใหญ่ตลอดเส้นขอบฟ้า มันเป็นปีที่สโมสรฟุตบอลที่ประสำเร็จสูงสุดใน อังกฤษ ถือกำเนิด ผ่านพ้นมา 134 ปี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขอยกย่องมรดกอันน่าภาคภูมิใจด้วยการเปิดตัวชุดแข่งใหม่ "คอลเลคชั่นลายหมากรุก""

        ชุดใหม่ของทาง "ปีศาจแดง" นับเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นชุด "ลายหมากรุก" ของทางสโมสร สำหรับการลงชิงชัยในฤดูกาลหน้า โดยมีคติใหม่สำหรับชุดนี้ว่า "หลอมรวมความแข็งแกร่งในโรงงาน ต่อสู้มุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จ" แต่ว่าแฟนบอลหลายคนดูจะผิดหวังกับดีไซน์เช่นนี้ เหมือนที่เคยมีกระแสต่อต้านของสาวก "เร้ด อาร์มี่" มาแล้วหลังจากที่ได้เห็นภาพหลุดของชุดแข่งใหม่ในช่วงก่อนหน้านี้

โนเล่,อซาเรนก้าเข้ารอบ3มูตัวฯ



โนวัค ยอโควิช ยอดแร็กเกตหนุ่มมือ 1 รายการ มูตัว มาดริด โอเพ่น ทะลุเข้าสู่รอบ 3 เป็นที่เรียบร้อย หลังพิชิต ดาเนี่ยล กิเมโน่-ตราเบร์ คู่แข่งจากสเปน 2-1 เซต เช่นเดียวกับมือ 1 ฝ่ายหญิงอย่าง วิคตอเรีย อซาเรนก้า ที่อัด อันเดรีย ฮลาวัชโคว่า สาวเช็ก 2-0 เซต ขณะที่ มาเรีย ชาราโปว่า ก็ซิวชัยตามคาด



        สรุปผลการแข่งขันเทนนิส เอทีพี ทัวร์ และ ดับเบิ้ลยูทีเอ ทัวร์ รายการ มูตัว มาดริด โอเพ่น ชิงเงินรางวัลรวม 3,090,150 ยูโร (ประมาณ 124 ล้านบาท) และ 5,189,603 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 156 ล้านบาท) ตามลำดับ ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อวันอังคารที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา


ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก
- เฟเดริโก้ เดลโบนิส (อาร์เจนตินา) ชนะ อัลเบิร์ต รามอส (สเปน) 2-0 เซต 6-3, 6-2
- ราเด็ค สเตปาเน็ค (สาธารณรัฐเช็ก) ชนะ เบอร์นาร์ด โทมิช (ออสเตรเลีย) 2-0 เซต 6-2, 7-5
- มาริน ซิลิช (โครเอเชีย) ชนะ อัลเบิร์ต มอนตาเนส (สเปน) 2-0 เซต 6-3, 6-3
- อันเดรียส เซ็ปปิ (อิตาลี) ชนะ มิเชล โลดร้า (ฝรั่งเศส) 2-0 เซต 7-5, 6-4
- สตานิสลาส วาวรินก้า (สวิตเซอร์แลนด์) ชนะ โอลิวิเย่ร์ โรชุส (เบลเยียม) 2-0 เซต 6-4, 7-6 (7-3)
- อเล็กซานเดอร์ โดลโกโปลอฟ (ยูเครน, มือ 16) ชนะ ปาโบล อันดูฆาร์ (สเปน) 2-0 เซต 7-6 (7-5), 6-4
- ชิลล์ส ซิมง (ฝรั่งเศส, มือ 9) ชนะ ฟาบิโอ ฟอจนินี่ (อิตาลี) 2-1 เซต 6-7 (1-7), 6-3, 6-3
- ฮวน มาร์ติน เดล โปโตร (อาร์เจนตินา, มือ 10) ชนะ ฟลอเรียน เมเยอร์ (เยอรมนี) 2-0 เซต 6-4, 6-2
- กาแอล มงฟิลส์ (ฝรั่งเศส, มือ 12) ชนะ ฟิลิปป์ โคห์ลชไรเบอร์ (เยอรมนี) 2-1 เซต 7-5, 6-7 (2-7), 6-3
- เฟร์นานโด เบร์ดาสโก้ (สเปน, มือ 15) ชนะ เดนิส อิสโตมิน (อุซเบกิสถาน) 2-0 เซต 7-5, 6-2
- เจอร์เก้น เมลเซอร์ (ออสเตรีย) ชนะ เฟลิเซียโน่ โลเปซ (สเปน, มือ 13) 2-1 เซต 3-6, 7-6 (8-6), 6-4
- มิลอส ราโอนิช (แคนาดา) ชนะ ดาวิด นัลบานเดียน (อาร์เจนตินา) 2-0 เซต 6-4, 6-4
- มาร์เซล กราโนเย่ร์ส (สเปน) ชนะ คาร์ลอส เบอร์ล็อก (อาร์เจนตินา) 2-1 เซต 7-5, 3-6, 7-5
- ริชาร์ด กาสเก้ต์ (ฝรั่งเศส, มือ 14) ชนะ โธมัส เบลลุชชี่ (บราซิล) 2-1 เซต 4-6, 6-4, 7-6 (7-5)


รอบ 2
- โทมัส เบอร์ดิช (สาธารณรัฐเช็ก, มือ 6) ชนะ เควิน แอนเดอร์สัน (แอฟริกาใต้) 2-0 เซต 6-4, 6-3
- โนวัค ยอโควิช (เซอร์เบีย, มือ 1) ชนะ ดาเนี่ยล กิเมโน่-ตราเบร์ (สเปน) 2-1 เซต 6-2, 2-6, 6-3


ประเภทหญิงเดี่ยว รอบ 2
- แคโรไลน์ วอซเนียคกี้ (เดนมาร์ก, มือ 6) ชนะ โมน่า บาร์เธล (เยอรมนี) 2-0 เซต 6-4, 7-6 (7-2)          
- เซเรน่า วิลเลี่ยมส์ (สหรัฐอเมริกา, มือ 9) ชนะ อนาสตาเซีย พาฟลิวเชนโคว่า (รัสเซีย) 2-0 เซต 6-2, 6-1        
- อนาเบล เมดิน่า การ์ริเกส (สเปน) ชนะ โซราน่า เคิร์สเตีย (โรมาเนีย) 2-1 เซต 6-1, 3-6, 7-5      
- วาร์วาร่า เลปเชนโก้ (สหรัฐอเมริกา) ชนะ ชาฮาร์ เปียร์ (อิสราเอล) 2-0 เซต 7-6 (7-2), 6-4
- ลูซี่ ซาฟาโรว่า (สาธารณรัฐเช็ก) ชนะ การ์ล่า ซัวเรซ นาบาร์โร่ (สเปน) 2-0 เซต 6-3 6-4   
- อนา อิวาโนวิช (เซอร์เบีย, มือ 13) ชนะ นาเดีย เปโตรว่า (รัสเซีย) 2-0 เซต 7-5, 6-1 
- วิคตอเรีย อซาเรนก้า (เบลารุส, มือ 1) ชนะ อันเดรีย ฮลาวัชโคว่า (สาธารณรัฐเช็ก) 2-0 เซต 6-3, 7-6 (7-2)
- มาเรีย ชาราโปว่า (รัสเซีย, มือ 2) ชนะ คลาร่า ซาโคปาโลว่า (สาธารณรัฐเช็ก) 2-0 เซต 6-4, 6-3       

วิเคราะห์บอล Atletico Madrid - Athletic Bilbao UEFA EUROPA LEAGUE 12bet 01.45 น. 10/5/12


เปรียบเทียบความพร้อมของทีม

แอตเลติโก มาดริด :
ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ไม่มี ซิลวิโอ มานูเอล เปเรยร่า สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ด้าน ติอาโก้ เมนเดส ติดโทษแบน ส่วน ฟราน เมรีด้า ไม่มีชื่ออยู่ในโผทำศึกยุโรป แต่ กาเบรียล เฟร์นานเดซ กาบี พ้นโทษแบนจากลีกาหวนคืนสู่ทีม สำหรับ หลุยส์ เปเรอา กับ อันโตนิโอ โลเปซ ฟิตกลับมาพร้อมเป็นตัวเลือกลงสนาม ขณะเดียวกัน เปโดร มาร์ติน กองหน้าดาวรุ่งจากชุดเยาวชนยังถูกเรียกตัวมาเสริมทัพอีกรายด้วย  ทีมตราหมีจะลงเล่นระบบ 4-2-3-1 มี ธีโบต์ กูร์กตัวส์ เฝ้าเสา แนวรับ 4 คนเป็น ฆวน ฟรานซิสโก้ ตอร์เรส เบเลน ฆวนฟราน, เชา มิรันด้า, ดีเอโก้ โกดิน, ฟิลิเป้ หลุยส์ กาสมีร์สกี้ ด้าน มาริโอ ซูอาเรซ จะลงคุมเกมแดนกลางกับ กาเบรียล เฟร์นานเดซ กาบี โดยมี อาเดรียน โลเปซ, ดีเอโก้ รีบาส ดา กุนญ่า, อาร์ดา ตูราน เดินเกมรุก ส่วน ราดาเมล ฟัลเกา การ์เซีย จะลงเล่นหน้าเป้า

แอธเลติก บิลเบา :
มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ไม่มี ไอตอร์ โอซิโอ, ชาเบียร์ กาสตีโย่ กับ อีกอร์ มาร์ตีเนซ สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ด้าน ดาบิด โลเปซ โมเรโน่ กับ การ์ลอส กูเปร์กี เป็นเพียงผู้ชมบนอัฒจันทร์เท่านั้น แต่ ออสการ์ เด มาร์กอส พ้นโทษแบนหวนคืนสู่ทีม รวมถึง ฆาเบียร์ มาร์ตีเนซ พ้นโทษแบนจากลีกากลับมาเช่นกัน ส่วน เฟร์นานโด อมอเรเบียต้า, เฟร์นานโด ยอเรนเต้, อีเกร์ มูเนียอิน, มาร์เกล ซูซาเอต้า, ออสการ์ เด มาร์กอส หรือ อันโดนี อีราโอล่า ซึ่งได้โอกาสพักแข้งจากเกมลีกานัดล่าสุดต่างพร้อมลงสนามทั้งหมด บิลเบาจะลงเล่นระบบ 4-3-3 มี กอร์ก้า อีไรซอส เฝ้าเสา แนวรับ 4 คนเป็น อันโดนี อิราโอล่า, ฆาเบียร์ มาร์ตีเนซ, เฟร์นานโด อมอเรเบียต้า, จอน เอาร์เตเนตเช่ ในแดนกลางมี ออสการ์ เด มาร์กอส, อันเดร์ อีตูร์ราสเป้, อันเดร์ เอร์เรร่า ลงทำเกม ส่วน มาร์เกล ซูซาเอต้า, เฟร์นานโด ยอเรนเต้, อีเกร์ มูเนียอิน จะลงเล่นเป็นสามประสานแนวรุก

วิจารณ์เกมการแข่งขัน

ทั้งสองทีมต่างตั้งเป้าเก็บชัยชนะเพื่อแชมป์ยูโรปาลีกโดยเฉพาะบิลเบาซึ่งยังไม่เคยคว้าแชมป์ยุโรปมาก่อนหน้านี้ บิเอลซ่าจึงพักแข้งตัวหลักเกือบทั้งทีมจากเกมกับเคตาเฟ่เมื่อวันเสาร์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแมตช์ชิงฯ ทีมดังแคว้นบาสก์ยังเล่นกันด้วยทีมเวิร์คที่ดูลงตัวกว่า ขณะเดียวกันทีมตราหมียังมีจุดอ่อนในการเล่นเกมรับพอสมควร แม้จะมีแนวรุกอันตรายอย่าง ราดาเมล ฟัลเกา แต่ความหลากหลายยังดูเป็นรอง บิลเบาจึงน่าจะบดคว้าชัยสำเร็จ

ศึกวันนี้ตัดสินแชมป์ยูโรป้า ใครจะอยู่จะไปลุ้นได้ที่ 12bet


ภาวะความเครียด




ภาวะความเครียด

   สังคมมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใดกำลังเผชิญกับภาวะความเครียด และกำลังศึกษาอย่างจริงจังว่าจะมีระบบการจัดการกับความเครียดที่ได้ผลที่สุดคืออะไร ปกติแล้วความเครียดระดับหนึ่งให้ประโยชน์ กล่าวคือการค่อยๆ เพิ่มความเครียดช่วยให้มีผลทางปฏิบัติงาน มีบางคนที่ทำงานได้ดีภายใต้ความกดดัน บุคคลที่มีความยืดหยุ่นและสามารถควบคุมความเครียดจะผลักดันให้คนนั้นหยุดนิ่งไม่ได้ แต่ถ้าการบริหารจัดการความเครียดล้มเหลว ความเครียดจะกลายเป็นภัยร้ายแรงและน่ากลัว มีคนเปรียบความเครียดในคนเหมือนกับการเติมลมยางรถยนต์ ถ้าเราเติมพอดีรถก็จะวิ่งฉิววิ่งเรียบ แต่ถ้าเติมลมน้อยยางแบนรถแล่นไปทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าลงหลุมเล็กหลุมน้อยไปตลอดทางและจะเลี้ยวก็ดูจะฝืดและแข็ง แต่ถ้าเติมเต็มมากเกินไปรถจะแล่นไม่เรียบกระโดดกระเด้งตลอดเวลาและยากต่อการควบคุมแฉลบออกนอกทางง่าย คนเราก็เช่นกันถ้าไม่มีความกดดันอะไรเลยก็จะกลายเป็นคนเฉื่อยไม่ยอมทำอะไร เขาเป็นคนไม่มีเป้าหมายอะไร ถึงก็ชังไม่ถึงก็ชัง จะทำหรือไม่ทำก็     ไม่มีใครว่า สอบได้สอบตกก็ได้ขึ้นชั้น ทำดีก็ได้ไม่ต้องทำก็ได้ถึงปีก็ได้เลื่อนขั้น ดังที่เขาพูดกันว่าความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏเลื่อนหนึ่งขั้น ในเวลาเดียวกันถ้าเติมความเครียดจนเกินไปอยู่กับความเครียดนานๆ ก็จะเกิดอันตรายต่อชีวิต ฉะนั้นการบริหารจัดการความเครียดอย่างมีเหตุมีผล ถูกหลักการ จะทำให้ชีวิตโลดแล่นไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างภาคภูมิใจ

     ความเครียดเกิดขึ้นอย่างไร ภาวะความเครียดมีที่มา 2 แหล่ง แหล่งแรกเกิดจากผลกระทบที่เกิดขึ้นภายนอก ส่วนแหล่งที่สองเกิดจากผลกระทบภายใน ผลกระทบจากภายนอกได้แก่การแบกภาระหน้าที่การงานหนักนานเกินไป ภาระดูแลครอบครัวเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการที่ลูกๆ เรียกร้องเกินกว่าที่จะแบกได้หรือไม่ก็ข้อเรียกร้องของพ่อแม่ต้องการจากลูกมากเกินไป หรือไปเป็นหนี้เป็นสินจำนองบ้านที่ดินกำลังจะถูกริบ ทั้งหมดนี้เป็นความกดดันจากปัญหาภายนอกที่สร้างความเครียดแก่เรา ส่วนผลกระทบจากภายในคือปฏิกิริยาต่อสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวแล้ว ปัญหาร้องขอมีมากมายแต่แหล่งที่จะตอบสนองปัญหาดังกล่าวมีน้อยหรือไม่มี นี่แหละตัวสร้างความกดดันสร้างความเครียดให้กับชีวิต

   นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้วตัวสร้างความเครียดภายในยังมีความอยากหรือตัณหา อารมณ์ ทัศนคติ ความคาดหวังในความสำเร็จ ความต้องการให้คนอื่นมองดูตนดีและรู้สึกดี ความวิตกกังวล ความอิจฉาริษยา ความแค้นเคือง ความขัดข้องหมองใจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สร้างความเครียดทั้งสิ้น

เราต้องตระหนักว่า เราเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการความเครียด ความเครียดจะอยู่ระดับใดเราเป็นผู้เลือก ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมีสติ และ มีปัญญา ความเครียดหลายอย่างเราหลีกเลี่ยงได้ เช่น เป็นคนประหยัด อดออม มีวินัยในการทำงาน มีการวางแผนที่ดี รู้จักประมาณตน รู้จักการวางความสำคัญให้ถูกตำแหน่ง ฯลฯ จงควบคุมและจัดการความเครียดก่อนที่ความเครียดจะมาจัดการเรา

       เราจึงขอแนะนำให้เพื่อนๆลองมาคลายความเครียดกับเราได้ที่ เกมส์คาสิโน 12bet ที่มีมากมายหลากหลายเกมส์ให้เพื่อนๆได้เลือกเล่นเพื่อความผ่อนคลาย ลองมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับเรา ที่นี่

เรือใบอู้ฟู่ได้แชมป์พรีเมียร์ฟันโบนัส225ล.





   เจ้าของสโมสร "เรือใบสีฟ้า" ตกเป็นข่าว จ่ออัดฉีดแข้งในสังกัดชนิดเต็มสูบ หากหักหน้า "ปีศาจแดง" ผงาดครองแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ เอาไปเลยเงินโบนัสก้อนใหญ่ยักษ์ 4.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 225 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วสบายตัวรับกันไปคนละ 250,000 ปอนด์ (ประมาณ 12.5 ล้านบาท) เลยทีเดียว

เหล่าบรรดานักเตะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกเป็นข่าวว่า จะได้รับเงินโบนัสโดยถ้วนหน้า เป็นจำนวนมหาศาลถึงคนละ 250,000 ปอนด์ (ประมาณ 12.5 ล้านบาท) เลยทีเดียว หากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาครองได้สำเร็จในฤดูกาลนี้ ตามรายงานข่าวจาก เดลี่ สตาร์ หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ดังเมืองผู้ดี เมื่อวันอังคารที่ 8 ..ที่ผ่านมา


ทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ใกล้จะสร้างประวัติศาสตร์ผงาดครองแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1968 เต็มแก่ โดยเหลือเพียงแค่ชัยชนะในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ที่จะเปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม พบกับ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ในวันอาทิตย์ที่ 13 ..นี้เท่านั้น และหากการแย่งถ้วยชนะเลิศ พรีเมียร์ลีก มาจากอ้อมอกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับร่วมเมือง ยังไม่สะใจพอ ชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน เจ้าของสโมสร ก็จะล้วงกระเป๋าเซ็นเช็คแจกโบนัสจูงใจให้บรรดาแข้งทองของทีมมีลูกฮึดคว้าชัยอย่างหนำใจกันไปเลย


เดลี่ สตาร์ ระบุว่า ชีค มันซูร์ เตรียมจ่ายเงิน 4.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 225 ล้านบาท) ในฐานะเงินโบนัสทันที หากขุนพล "เรือใบสีฟ้า" เอาชนะพลพรรค "ทหารเสือราชินี" ได้สำเร็จในนัดดังกล่าว ซึ่งหมายความว่า จะได้ครองตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ในบั้นปลาย โดยชนิดที่ไม่ต้องไปสนใจเลยว่า "ปีศาจแดง" จะบุกไปชนะ ซันเดอร์แลนด์ ในวันเดียวกันได้หรือไม่ อย่างไร เนื่องจากผลต่างประตูได้-เสียเหนือกว่าอยู่ 8 ประตู แม้ในเวลานี้จะมี 86 คะแนนเท่ากันก็ตาม

อ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ดัลกลิชโว!หงส์ได้ชัยเหนือสิงห์คู่ควรแล้ว




เคนนี่ ดัลกลิช นายใหญ่ ลิเวอร์พูล โวแหลก "หงส์แดง" ได้ชัยชนะที่คู่ควรแล้ว หลังเปิดบ้านต้อน เชลซี 4-1 พร้อมยกเหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" สนับสนุนทีมไม่เคยเปลี่ยน แม้เพิ่งผิดหวังในเกมนัดชิงฯ เอฟเอ คัพ มา

เคนนี่ ดัลกลิช ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล แสดงความเชื่อมั่นว่า ทัพ "หงส์แดง" ได้รับชัยชนะที่คู่ควรแบบสุดๆ แล้ว หลังจากที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม และฉวยโอกาสทำประตูได้แบบไม่สิ้นเปลือง ในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดเปิดรัง แอนฟิลด์ ไล่ถล่ม เชลซี 4-1 เมื่อวันอังคารที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา


เกมนี้ ลิเวอร์พูล พุ่งขึ้นนำก่อนถึง 3-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ ไมเคิ่ล เอสเซียง กองกลาง เชลซี นาทีที่ 19, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน นาทีที่ 25 และ แดเนี่ยล แอ็กเกอร์ นาทีที่ 28 ซึ่งพวกเขาเกือบฉีกหนีห่างเป็น 4-0 ด้วย แต่ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ยิงจุดโทษไปชนเสาออกมาอย่างน่าเสียดาย


เริ่มเกมครึ่งหลัง เชลซี เปิดหัวได้ดี และไล่ขึ้นมาเป็น 3-1 จาก รามิเรส นาทีที่ 50 ทว่าเจ้าถิ่นหนีออกเป็น 4-1 จาก จอนโจ้ เชลวี่ย์ นาทีที่ 61 และจบเกมด้วยสกอร์นี้ ทำให้ "หงส์แดง" ซึ่งตอนนี้กระโดดขึ้นมารั้งอันดับ 8 มีคะแนนตามหลัง เอฟเวอร์ตัน อันดับ 7 แต้มเดียวเท่านั้น ขณะที่ "สิงห์บลูส์" หมดสิทธิ์ขึ้นไปติดกลุ่ม 4 อันดับแรกแน่นอนแล้ว


"ผมคิดว่า นักเตะของเราทุกคนวันนี้จะต้องมีความสุขมากๆ แน่ กับสิ่งที่พวกเขาทำที่ แอนฟิลด์ ฟอร์มการเล่นก็อยู่ในระดับเดียวกับหลายๆ เกมของเราในฤดูกาลนี้ เพียงแต่หลายๆ เกมที่ผ่านมา เราไม่ได้รับผลการแข่งขันที่คู่ควร ซึ่งต่างจากวันนี้"


"บรานิสลาฟ อิวาโนวิช (กองหลัง เชลซี) โหม่งชนคานช่วงต้นเกม บางทีนั่นคือเรื่องโชคดีที่คุณจำเป็นต้องมีบ้าง ขณะที่เราก็ยิงชนเสาชนคานตั้งสองครั้งด้วย เพราะฉะนั้น เกมวันนี้ถือว่าน่าพอใจมากๆ สำหรับเรา และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แฟนๆ จะกลับบ้านไปพร้อมกับความสุข"

"ผมไม่คิดว่า จะมีแฟนบอลที่ไหนใน พรีเมียร์ลีก ยอดเยี่ยม และซื่อสัตย์ต่อทีมรักเท่าพวกเขาอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่ำคืนนี้ ที่เราเพิ่งปราชัยในเกมนัดชิงฯ เอฟเอ คัพ (แพ้ เชลซี 1-2) เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้พวกเขาไปเต็มๆ เลย และก็หวังว่า เด็กๆ จะได้ยิ้มเต็มๆ ปากเสียที" ดัลกลิช ร่ายยาว

หงส์สางแค้นโหด!เปิดรังถล่มสิงห์ไม่เลี้ยง4-1


"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เปิดบ้านชำระแค้น "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ได้สำเร็จโดยไล่ถล่มแบบไม่ยั้งเกือกจบที่ผลสกอร์ 4-1 เก็บสามแต้มเต็มส่งท้ายฤดูกาลในบ้านได้อย่างสวยหรู พร้อมทำแต้มขึ้นมาอยู่อันดับที่ 8 ตามหลัง เอฟเวอร์ตัน อริร่วมเมืองแต้มเดียว ขณะที่ ความพ่ายแพ้นัดนี้ของ เชลซี ทำให้พวกเขาหมดลุ้นติดอันดับ 1 ใน 4 ทันที ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันอังคารที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา

ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2555
ลิเวอร์พูล 4       -       1 เชลซี

สนาม : แอนฟิลด์
        เกมตกค้างของพรีเมียร์ลีก คู่เดียวในช่วงกลางสัปดาห์นี้ เป็นนัดล้างตาของ ลิเวอร์พูล ในการพบกับ เชลซี ภายหลัง "สิงโตน้ำเงินคราม" เพิ่งกำชัย 2-1 คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2012 ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
     

        "หงสแดง" ลิเวอร์พูล เหลือลุ้นเต็มที่แค่แย่งอันดับ 7 กับเพื่อนร่วมเมือง เอฟเวอร์ตัน เท่านั้น ซึ่งตอนนี้ตามอยู่ 4 แต้ม เท่ากับบังคับกลายๆ ว่าต้องชนะรวดใน 2 เกมที่เหลือ โดยเกมลีกล่าสุดพ่าย ฟูแล่ม คารัง 0-1 กลางสัปดาห์ที่แล้ว


        เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือหงส์แดง จัดทัพใหญ่ลงเกมนี้ โดยใช้ระบบ 4-4-2 แผงหลัง เซ็นเตอร์แบ็ค มาร์ติน สเคอร์เทค ยืนคู่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ แบ็คซ้าย เกล็ฯ จอห์นสัน แบ็คขวา แดเนียล แอ็กเกอร์ แผงกองกลางไม่มีชื่อของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ซึ่งประกอบไปด้วย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, มักซี่ โรดริเกซ, จอน โจ เชลวี่ย์ และ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ด้านคู่หน้าเป็นการประสานคมแข้งกันของ หลุยส์ ซัวเรซ กับ แอนดี้ แคร์โรลล์


        ข้ามฝั่งมาทาง "สิงโตน้ำงินคราม" เชลซี กำลังอยู่ในเส้นทางลุ้นทำดับเบิ้ลแชมป์ หลังสอยเอฟเอ คัพ ไปก่อนแล้ว และกำลังรอชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่อัลลิอันซ์ อารีน่า ในวันที่ 19 พ.ค.


        สถานการณ์ในลีกก็ยังพอได้ลุ้นอันดับ 4 อยู่ โดยตอนนี้ตามหลังท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 5 คะแนน เท่ากับบีบให้ต้องชนะ 2 นัดเช่นกัน และลุ้นแช่งทั้ง สเปอร์ส กับ นิวคาสเซิ่ล ให้พลาดในเกมสุดท้าย


        โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ กุนซือสิงโตน้ำเงินคราม ยังคงมีปัญหาสภาพทีมอยู่โดยเฉพาะในแผงหลัง ที่ ดาวิด ลุยซ์ กับ แกรี่ เคฮิลล์ เจ็บเอ็นหลังหัวเข่าอยู่ทั้งคู่ และกำหนดการฟิตกลับมาก็เพื่อที่จะเล่นนัดชิงฯ แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้น ยังไม่ทันเกมนี้ โดยเกมนี้ใช้ระบบ 4-2-3-1 ปราการหลังประกอบไปด้วย  แบ็กขวา เปาโล แฟร์ไรร่า แบ็กซ้าย ไรอัน เบอร์ทรานด์ เซ็นเตอร์คู่ใช้ จอห์น เทอร์รี่ กัล บรานิสาฟ อิวาโนวิช แผงกลางประกอบไปด้วย กลางรับ โอริโอล โรเมอู กับ ไมเคิ่ล เอสเซียง ปีกซ้าย ฟลอร็องต์ มาลูด้า ปีกขวา แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ กลางตัวหลักเติมเกมรุกเป็นหน้าต่ำ รามิเรส และ เฟร์นานโด ตอร์เรส รับบทหน้าเป้า




        เริ่มระเบิดคมแข้งกันในครึ่งเวลาแรก นาทีที่ 5 หงส์แดง ได้ลูกฟรีคิกบริเวณฝั่งขวาในแดน สิงห์บูลส์ เลยเส้นครึ่งสนามมาประมาณห้าหลาจากจังหวะตัดฟาวล์ของ แฟร์ไรร่า เข้าใส่ แคร์โรลล์


        นาทีที่ 7 สาวกหงส์แดงได้ลุ้นกันทั้งสนามเมื่อเกือบได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่ ซัวเรซ กระชากบอลแล้วแตะรอดขา เทอร์รี่ หลุดเข้าไปก่อนตัดสินใจซัดด้วยขวาแต่ถูกบอลไม่ดีบอลหักออกหลุดเสาไกลไปอย่างน่าเสียดาย


        ผ่านพ้นไป 10 นาที เป็น หงส์แดง ที่ครองเกมบุกได้มากกว่า สิงห์บูลส์ แต่การต่อบอลยังขาดๆ เกินๆ จึงทำให้หาจังหวะเข้าทำยังน้อยนิด


        นาทีที่ 14 ใบเหลืองแรกของเกมก็เกิดขึ้นเมื่อ หงส์แดงได้โต้กลับเร็ว โดย ซัวเรซ และเป็น แฟร์ไรร่า ที่เตะตัดขากลางสนาม เฟรนด์ กรรมการในเกมนี้ตัดสินใจควักใบเหลืองให้ทันที


        นาทีที่ 15  แคร์โรลล์ ได้จังหวะปั่นบอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ เชลซี เนื่องจาก เทิร์นบูลล์ ออกมาไกลแต่บอลข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย


        สิงห์บูลส์ โต้กลับบ้างและเกือบมาได้ประตูขึ้นนำเมื่อได้ลูกแตะมุมและเป็น อิวาโนวิช ขึ้นโขกแบบไร้ตัวประกบบอลพุ่งชนเต็มเสากระดอนออกไปอย่างไม่มีโชค


        ความพยายามของ หงส์แดง มาประสบความสำเร็จ นาทีที่ 19 เมื่อได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากความสามารถเฉพาะตัวของ ซัวเรซ ที่กระชากบอลริมเส้นฝั่งขวาแตะรอดขา อิวาโนวิช ไปถึงเส้นหลังก่อนเปิดบอลยัดเข้าไปและไปโดนตัว ไมเคิ่ล เอสเซียง บอลกระดอนเข้าประตูตัวเองไปแบบโชคไม่เข้าข้าง


        นาทีที่ 21 เทอร์รี่ มาถูกใบเหลืองที่สองของฝั่งสิงห์บูลส์ จากจังหวะไปดึงฟาวล์ แคร์โรลล์



        หงส์แดงมาได้ประตูนำเป็น 2-0 จากจังหวะจ่ายบอลครึ่งสนามของ มักซี่ โรดริเกซ ให้ เฮนเดอร์สัน หลุด เทอร์รี่ ที่อ่านบอลผิดพลาดเข้าไปดวล ตัวต่อตัวกับ เทิร์นบูลล์ ก่อน เฮนเดอร์สัน ตัดสินใจแปด้วยเท้าขวาเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างเลือดเย็น


        นาทีที่ 29 หงส์แดงยังคงโหมบุกอย่างต่อเนื่องและมาได้ประตูนำห่างเป็น 3-0 อย่างง่ายดายจากจังหวะที่ แคร์โรลล์โหม่งตั้งให้ แอ็กเกอร์ โขกโล่งๆ ไม่ถึง 6 หลาเข้าไปตุงตาข่าย



        หงส์แดง ยังคงไม่ผ่อนเกมบุกและมาได้ลุ้นอีกหนึ่งจังหวะนาทีที่ 31 เมื่อ ซัวเรซ ผ่านบอลให้ มักซี่ โรดริเกซ หลุดเข้าไปซัดด้วยซ้าย แต่เป็น เทิร์นบูลล์ ที่ปัดออกไปได้


        นาทีที่ 33 หงส์แดง โต้กลับเร็วและเกือบมาได้ประตูที่ 4 อีกครั้งเมื่อ แคร์โรลล์ หลุดเดียวเข้าไปในกรอบเขตโทษของสิงห์บูลลส์ก่อนซัดด้วยเท้าซ้ายเน้นๆ แต่ไม่ผ่านมือ เทิร์นบูลล์ ที่ปัดไว้ได้


        นาทีต่อมา สิงห์บูลส์ เกือบได้ประตูตีตื้นจากจังหวะที่ ตอร์เรส ได้ซัดด้วยเท้าขวาในกรอบเขตโทษทางฝั่งขวาเต็มข้อบอลพุ่งชนคานอย่างจังกระดอนออกไปอย่างน่าเสียดาย


        นาทีที่ 39 หงส์แดง ที่กำลังได้ใจมาได้ลุ้นอีกหนึ่งจังหวะจากการซัดไกลของ แคร์โรลล์ แต่บอลหลุดออกเสาไปไกลไม่ได้ลุ้น


        นาทีที่ 41 หงส์แดง เกือบได้ประตูนำห่างอีกครั้งจากจังหวะซัดไกลด้วยเท้าซ้ายของ สจวร์ต ดาวนิ่ง บอลพุ่งแรงตรงกรอบผ่านมือ เทิร์นบูลล์ ที่พุ่งบัดสุดตัวแต่ไม่ถึงก่อนบอลมุดลงแต่ไปชนคานออกไปอย่างน่าเสียดาย


        สิงห์บูลล์ที่ต้องตั้งรับเป็นส่วนใหญ่มาถูกใบเหลืองเป็นใบที่สามของทีมนาทีที่ 44 เมื่อ เอสเซียง ตัดฟาวล์โดยไปเตะเข้าใส่ด้านหลัง แคร์โรลล์


        ครึ่งแรกทดเจ็บออกไปเพียง 2 นาที และหงส์แดงมาได้จุดโทษนาทีที่ 46 จากจังหวะตั้งใจใช้ศอกทำฟาวล์ใส่ แคร์โรลล์ ของ อิวาโนวิช ในเขตโทษและเจ้าตัวถูกใบเหลืองอีกด้วย


        จากจังหวะดังกล่าวเป็น  สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ที่ขอรับหน้าที่สังหารจุดโทษโดยเจ้าตัววิ่งเข้าแปด้วยเท้าซ้าย เทิร์นบูลล์นายด่านเชลซีพุ่งผิดทางแต่บอลเจ้ากรรมดันพุ่งชนเสาอย่างจัง หงส์แดงชวดได้ประตูที่ 4 อย่างน่าเสียดาย และครึ่งเวลาแรกก็จบลงที่ ลิเวอร์พูล เปิดรังนำห่าง เชลซี 3-0


        กลับมาระเบิดความมันส์กันต่อในครึ่งเวลาหลังซึ่งทั้งสองทีมยังไม่มีรายงานการเปลี่ยนตัวแต่อย่างใด


        หงส์แดง ยังคงเดินเกมบุกอย่างต่อเนื่องและได้จังหวะรุกเข้าใส่ฝั่ง สิงห์บูลส์ อีกครั้งนาทีที่ 48 จากจังหวะที่ ดาวนิ่ง โยนบอลทางฝั่งขวาเลยไปเข้าหัว แคร์โรลล์ ขึ้นโหม่งตั้งบอลเข้ามาในเขตโทษ สิงห์บูลส์ แต่แผงหลังทีมเยือนเตะสกัดออกไปได้


        นาทีที่ 49 ทัพสิงห์มาได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 จากจังหวะลูกฟรีคิกบริเวณมุมกรอบเขตโทษทางฝั่งขวา มาลูด้า โยนบอลด้วยซ้ายจี้เข้าไปใส่กรอบประตู บอลโดนขา รามิเรส ก่อนไปถูก เรน่า ที่พยายามใช้ขายื่นสกัดแต่ไม่ทันเข้าไปตุงตาข่าย


        นาทีที่ 53 หงส์แดง ได้ลุ้นอีกหนึ่งจังหวะจากการซัดของ สเคอร์เทล แต่เป็น เทิร์นบูลล์ ยังไวพุ่งปัดเอาไว้ได้


        นาทีที่ 61 หงส์แดงมาขยับนำห่างเป็น 4-1 จากความผิดพลาดของ เทิร์นบูลล์ ที่เตะสกัดบอลไม่ดีไปเข้าทาง จอน โจ เชลวี่ย์ ที่ได้บอลแล้วไม่รอช้าซัดด้วยเท้าขวาเต็มข้อระยะประมาณ 35 หลา บอลพุ่งแรงตรงเสียบเข้าสามเหลี่ยมไปอย่างสวยงาม


        นาทีที่ 64 แคร์โรลล์ ถูกจับฟาวล์จากจังหวะพยายามขึ้นตีลังกายิงโดยมี โรเมอู เข้ามาสกัด กรรมการเห็นว่าเป็นการเล่นลูกอันตรายจึงให้ทัพสิงห์ได้บอลฟาวล์


        นาทีต่อมา หงส์แดง มาถูกใบเหลืองแรกของเกม จากการตัดฟาวล์ของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน


        นาทีที่ 67 สิงห์บูลส์ ปรับแผนการเล่นโดยการเปลี่ยนตัวสำรองคนแรก โดยส่ง โรเมโล ลูกาคู ลงมาแทน แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์


        หงส์แดง มาถูกอีกหนึ่งใบเหลืองนาทีที่ 70 คราวนี้เป็น แอ็กเกอร์ ที่เข้าเสียบสกัดฟาวล์ใส่ รามิเรส บริเวณริมเส้นฝั่งขวาในแดนเจ้าบ้าน



        นาทีที่ 72 ทัพสิงห์พลาดโอกาศได้ประตูไล่จี้ลูกที่ 2 อย่างเหลือเชื่อ จากจังหวะที่ ลูกาคู ได้โหม่งแบบไร้ตัวประกบไม่ถึง 5 หลาแบบเน้นๆ บอลพุ่งไปตรงตัว เรน่า ที่ใช้ปฏิกิริยาความไวปัดออกไปได้


        นาทีที่ 77 เกมหยุดไปชั่วขณะ จากจังหวะทำฟาวล์ของ ซัวเรซ ที่ใช้มือฟาดเข้าใส่หน้าของ อิวาโนวิช แบบเต็มๆ จนปรากราหลังทีมเยือนลงไปกองกับพื้นก่อน ซัวเรซ พยายามเข้าไปดูอาการและขอโทษ แต่ อิวาโนวิช ลุกขึ้นมาและไม่ยอมจับมือเนื่องจากอารมณ์ยังคงค้างอยู่


        เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย หงส์แดงมาได้ลูกฟรีคิกระยะประมาณ 30 หลา ทางด้านฝั่งขวาของกรอบเขตโทษเชลซี จากการตัดบอลฟาวล์ทางด้านหลังของ รามิเรส เข้าใส แอ็กเกอร์ และเป็น ซัวเรซ ที่รับหน้าที่สังหารปั่นไปติดกำแพงทีมเยือนไม่ได้ลุ้น

        หงส์แดง ตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้เล่น 2 คนพร้อมกัน โดยส่ง เดิร์ค เค้าท์ ลงมาแทน มักซี่ โรดริเกซ และอีกหนึ่งคนเป็นดาวรุ่งวัย 17 ปี ราฮีม สเตอร์ริ่ง ลงมาแทน สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง


        และ ราฮีม สเตอร์ริ่ง ลงมาสัมผัสบอลแรกด้วยการซัดด้วยเท้าซ้ายในกรอบเขตโทษทันทีแต่บอลเหินข้ามคานไปไกล


        นาทีที่ 88 หงส์แดง ยังเดินเกมบุกเข้าใส่ ซัวเรซ ไหลบอลต่อให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ตะบันด้วยขวาบอลไปถูก ไรอัน เบอร์ทรานด์ ออกไป


        สองนาทีต่อมา หงส์แดง มาได้ลุ้นอีกครั้งจากการประสานงานของ เดิร์ค เค้าท์ ที่ทำชิ่งกับ ซัวเรซ ก่อน ซัวเรซ หลุดไปดีดบอลด้วยขวาแต่บอลหลุดออกเสาไปอย่างน่าเสียดาย


        เกมนี้ทดเวลาบาดเจ็บออกไป 3 นาที และมาได้ลุ้นประตูอีกครั้งนาทีที่ 91 จากลูกเตะมุม ซัวเรซ รับหน้าที่เปิดบอลเลยไปเสาไกล แคร์โรลล์ วิ่งมาเก็บไว้ได้ก่อนเปิดเข้าไปด้วยเท้าซ้าย และจบที่ แดเนียล แอ็กเกอร์ ขึ้นโขกโล่งๆ บอลหลุดออกเสาไกลไปไม่ถึงสองหลา


        จบเกม ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเก็บชัยเหนือ เชลซี ไปแบบถล่มทะลาย 4-1 เก็บสามแต้มเต็มได้แบบสะใจส่งท้ายฤดูกาลในบ้านได้อย่างสวยหรู ทำแต้มขึ้นมาอยู่อันดับที่ 8 ตามหลัง เอฟเวอร์ตัน อริร่วมเมือง 1 คะแนน ขณะที่ เชลซี จากความพ่ายแพ้นัดนี้ทำให้พวกเขาหมดหวังที่จะลุ้นติดอันดับ 1 ใน 4 ทันที


รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม


        ลิเวอร์พูล (4-4-2) : โฆเซ่ เรน่า ; เกล็น จอห์นสัน, มาร์ติน สเคอร์เทล, แดเนียล แอ็กเกอร์, เจมี่ คาร์ราเกอร์ ; จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, มักซี่ โรดริเกซ, จอน โจ เชลวี่ย์,  สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ; แอนดี้ แคร์โรลล์, หลุยส์ ซัวเรซ

        สำรอง : อเล็กซานเดอร์ โดนี่,เซบาสเตียน โคอาเตส,เจย์ สเพียริง,มาร์ติน เคลลี่,เดิร์ค เค้าท์,เคร็ก เบลลามี่,ราฮีม สเตอร์ริ่ง

        ผู้จัดการทีม : เคนนี่ ดัลกลิช


        เชลซี (4-2-3-1) : รอสส์ เทิร์นบูลล์ ; เปาโล แฟร์ไรร่า, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, จอห์น เทอร์รี่, ไรอัน เบอร์ทรานด์ ; โอริโอล โรเมอู, ไมเคิ่ล เอสเซียง ; ฟลอร็องต์ มาลูด้า, รามิเรส, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ; เฟร์นานโด ตอร์เรส

        สำรอง : ฮิลาริโอ,แอชลี่ย์ โคล,แฟร้งค์ แลมพาร์ด,ฆวน มาต้า,โรเมโล ลูกาคู,ซาโลมง กาลู,แซม ฮัทชินสัน

        ผู้จัดการทีม : โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ


        ผู้ตัดสิน : เควิน เฟรนด์




L-C footyroom.com by footyroom