วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

ดาว์นิ่งฮีโร่!หงส์เฉือนสโต๊คสุดมันส์2-1 #12bet


     สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง สวมบทฮีโร่ซัดประตูชัยช่วย "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เปิดถิ่นเฉือนเก็บชัยเหนือ "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี้ ไปแบบสุดมันส์ 2-1 ส่งผลให้ หงส์แดง ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้เป็นผลสำเร็จ ไปยืนรอพบ ซันเดอร์แลนด์ หรือ เอฟเวอร์ตัน ขณะที่ เชลซี ไปยืนรอพบ สเปอร์ส หรือ โบลตัน ในศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ รอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา




ฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ 
รอบก่อนรองชนะเลิศ
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2555
ลิเวอร์พูล 2       -       1 สโต๊ค ซิตี้ 




สนาม : แอนฟิลด์




         "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เปิดถิ่น แอนฟิลด์ ต้นรับการมาเยือนของ "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี้ โดยเจ้าถิ่น ส่งผู้เล่นเต็มสูบ นำทัพโดย สตีเว่น เจอร์ราร์ด โดยเกมนี้ส่ง แอนดี้ คาร์โรล ยืนล่าตาข่ายกับ หลุยส์ ซัวเรซ ส่วนทีมเยือน มี โจนาธาน วอลเตอร์ส จับคู่ล่าตาข่ายกับ ปีเตอร์ เคร้าช์


<% response.ContentType="text/html; charset=tis-620"%> 
      เริ่มเกมมาเพียงสามนาที เป็นฝ่ายเจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล ได้ทักทายก่อน เมื่อได้ฟรีคิกตรงริมสนามฝั่งซ้าย ก่อน เจอร์ราร์ด จะเปิดเข้ากลาง บอลเข้าหัว มักซี่ โรดริเกซ พยายามโหม่งเช็ด แต่บอลหลุดกรอบไปเยอะ




      แค่5นาที เจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล ก็เสียใบเหลืองตั้งแต่ไก่โห่ หลัง มาร์ติน เคลลี่ ไปเตะฟาวส์หนักใส่ แม็ทธิว เอเธอริงตัน ผู้ตัดสิน เควิน เฟรนด์ ควักใบเตือนตั้งแต่ต้นเกม




      7นาทีต่อมา ทีมเยือนมีโอกาสได้จบบ้าง จากการขึ้นโหม่งของ ปีเตอร์ เคร้าช์ แต่บอลเบาและตรงตัว โฆเซ่ เรน่า รับสบาย




      นาทีที่15เป็นฝ่ายทีมเยือน สโต๊ค ซิตี้ ถูกผู้ตัดสินจดชื่อบ้าง หลัง เกล็น วีแลน ไปสไลด์เปิดปุ่มใส่ เจย์ สเปียริ่ง 





      นาทีที่23 เหล่าเดอะค็อป ในแอนฟิลด์ ได้เฮกันลั่นสนาม เมื่อ หลุยส์ ซัวเรซ เล่นชิ่งกับ แอนดี้ คาร์โรล มาที่เส้นกรอบเขตโทษ ก่อนหัวหอกอุรุกวัย จะบรรจงปั่นด้วยเท้าขวา บอลไซด์เสียบเสาอย่างหมดจด ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0




      อย่างไรก็ตาม แค่สามนาทีต่อมา แฟนๆช่างปั้นหม้อ ก็เฮคืนบ้าง เมื่อได้ลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย แม็ทธิว เอเธอริงตัน บรรจงเปิดมาที่หน้าประตู ปีเตอร์ เคร้าช์ ลอยขึ้นโขกเต็มหัว ส่งบอลตุงตาข่ายให้ สโต๊ค ซิตี้ ตามตีเสมอทันควัน 1-1




      หลังเสียประตู ลิเวอร์พูล ก็ต้องเสียใบเหลืองอีกใบ หลัง โฆเซ่ เรน่า พยายามประท้วงผู้ตัดสินว่าตัวเองโดนทำฟาวส์ในจังหวะเสียประตู แต่กลับกลายเป็นตัวเองโดนใบเหลืองข้อหาประท้วงไป




      นาทีที่30 สโต๊ค ซิตี้ เสียใบเหลืองอีกใบบ้าง เมื่อ แอนดี้ วิลกินสัน ไปเสียบฟาวส์ หลุยส์ ซัวเรซ จากข้างหลัง ผู้ตัดสินชูใบเหลืองให้อีกคน




     2นาทีต่อมา ทีมเยือนมีโอกาสได้ลุ้นได้ประตูนำ หลัง โจนาธาน วอลเตอร์ส ได้โอกาสหลุดไปสับไกด้วยเท้าขวา แต่กลับยิงไม่เข้ากรอบอย่างน่าเสียดาย




     นาทีที่43 ลิเวอร์พูล มีโอกาสลุ้นได้ประตูบ้าง เมื่อได้ลูกฟรีคิกตรงเส้นกรอบประตูพอดี หลุยส์ ซัวเรซ ไหลบอลให้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กดด้วยเท้าขวา แต่บอลลอยข้ามคานไปแบบไม่มีลุ้น




     ช่วงเวลาที่เหลือ เจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล พยายามเปิดเกมรุกกดดัน แต่ก็ไม่สามารถเจาะประตูเพิ่มได้ หมดครึ่งแรก ลิเวอร์พูล จึงเสมอกับ สโต๊ค ซิตี้ อยู่ 1-1




     เริ่มครึ่งหลังมา ลิเวอร์พูล โหมบุกใส่ทันที และมีโอกาสได้จบสกอร์จากการยิงของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด แต่ โธมัส โซเรนเซ่น ล้มตัวเซฟไว้ได้




     นาทีที่52 ลิเวอร์พูล มีโอกาสได้ลุ้นอีกรั้ง เมื่อได้ฟรีคิกตรงริมเส้นฝั่งซ้ายโดย สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง มาที่หน้าประตู หลุยส์ ซัวเรซ มีโอกาสได้โหม่งเช็ดไปทางเสาสอง แต่บอลหลุดกรอบไปแบบมีลุ้น




       อย่างไรก็ตาม แฟนๆหงส์แดง ก็ได้เฮกันอีกครั้ง เมื่อ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง เลี้ยงเข้ามาจ่ายให้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก่อน เจอร์ราร์ด จะตอกส้นคืนกลับมาให้ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง เลี้ยงฝ่าแนวรับสโต๊ค ก่อนสับเต็มข้อด้วยเท้าซ้ายข้างถนัด ส่งบอลตุงตาข่ายให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 2-1




     นาทีที่62 ลิเวอร์พูล ทำการเปลี่ยนตัว ด้วยการส่ง เดิร์ก เค้าท์ ลงมาแทน มักซี่ โรดริเกซ ก่อนได้ฟรีคิกยิงโดย หลุยส์ ซัวเรซ แต่ติดกำแพงไปไม่มีลุ้น






     นาทีที่ 63 หงส์แดงได้ซัดฟรีคิดระยะประมาณ 18 หลาหน้ากรอบเขตโทษของ สโต๊ค เป็นซัวเรซ รับหน้าที่แต่ซัดไม่ผ่านกำแพงกระดอนออกไป




     ลิเวอร์พูลกลับมาเล่นได้ดีกว่าในครึ่งเวลาหลังอย่างชัดเจนและมีโอกาสบอกสกอร์อีกครั้งในนาทีที่64 จากการซัดไกลของ เดิร์ก เค้าท์ บอลพุ่งตรงกรอบแต่ไปเข้ามือของ โซเรนเซ่น นายด่านสโต๊ครับไว้ได้สบาย




     นาทีที่ 65 หลุยส์ ซัวเรซ ได้ลองซัดไกลอีกครั้งแต่บอลยังไม่ผ่าน โซเรนเซ่น นานด่านทีมเยือนที่ล้มตัวรับเอาไว้ได้




     ทีมเยือนมาได้ลุ้นประตูตีเสมอบ้างจากจังหวะลูกฟรีคิกนาทีที่ 69 แต่กะจังหวะกันไม่ดีทำให้ เจย์ สเปียริ่ง ที่อ่านเกมวิ่งเข้ามาดักทางบังบอลเอาไว้ได้และหงส์แดงโต้กลับทันทีแต่ก็เร็วเกินไปทำให้ผิดพลาดและถูก แผงหลังสโต๊ก ดักบอลเอาไว้ได้อีกครั้ง




     มาถึงช่วง 20 นาทีสุดท้ายดูเหมือนว่าสโต๊คจะมีการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นโดยนาทีที่ 71 ตัดสินใจเปลี่ยนผู้เล่นคนที่สองของทีมโดยส่ง คาเมรอน เจอโรม ลงมาแทน แม็ทธิว เอเธอริงตัน




     นาทีที่ 74 สโต๊คเปลี่ยนผู้เล่นเป็นคนสุดท้ายโดยส่ง รอรี่ ดีแลบ ลงมาแทน ดีน ไวท์เฮด






     15 นาทีสุดท้าย นาทีที่ 76 หลุยส์ ซัวเรซ ไปทำฟาวน์ ไรอัน ชอว์ครอสส์ โดยการรั้งด้านหลัง แต่เพียงแค่นาทีเดียวกลับเป็น ชอว์ครอสส์ ที่ต้องรับใบเหลืองเมื่อไปดึงเสื้อ ซัวเรซ เพื่อตัดเกม




     นาทีที่ 79 หงส์แดงเคลื่อนขุมกำลังบุกอีกครั้งและมีโอกาสส่องประตูจาก เจย์ สเปียริ่ง บริเวณหน้ากรอบเขตโทษของสโต๊คทางด้านซ้ายแต่วางเท้าไม่ดีบอลเหินข้ามคานออกไปไกล




     ย่างเข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้ายเป็นหงส์แดงที่ครองเกมได้มากกว่าและเกือบได้เฮอีกครั้งเมื่อนาทีที่ 81 มาร์ติน เคลลี่ เติมเกมหลุดเข้ามาในกรอบเขตโทษของ สโต๊ค ก่อนซัดบอลเต็มข้อแต่ ไรอัน ชอว์ครอสส์ ปราการหลังของทีมเยือนเข้ามาขวางบอลเอาไว้ได้ทันการ




     นาทีที่ 85 สโต๊ค ได้สาดเกมาบุกเข้าใส่หงส์แดงบ้างจากลูกฟรีคิก แต่แข้งเจ้าถิ่นยังช่วยกันสะกัดบอลออกไปได้




     นาทีที่ 87 เกมดูเหมือนว่าจะหยุดชะงักชั่วขณะเนื่องจาก หลุยส์ ซัวเรซ ลงไปนอนเจ็บอยู่จนแพทย์สนามต้องเข้ามาดูอาการ และเมื่อย้อนมาดูภาพย้อนหลังเป็น โรเบิร์ต ฮูธ ที่เข้าไปสอยข้อเท้าด้านหลังของซัวเรซ และจากจังหวะดังกล่าว ซัวเรซ ก็ถูกเปลี่ยนตัวออกทันที โดยส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงมาแทน และอีกหนึ่งตำแหน่งที่หงส์แดงเปลี่ยนในเวลาเดียวกันคือ เซบาสเตียน โกอาเตส ลงมาแทน  มาร์ติน เคลลี่




     ช่วงเวลาบีบหัวใจเกิดขึ้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บโดย สโต๊ค ได้โอกาสแตะมุมและในจังหวะแรกเป็น เดิร์ก เค้าท์ ที่โหม่งสกัดออกไปได้ ต่อเนื่องจังหวะที่สอง สโต๊ค ได้ลูกทุ่มเป็น รอรี่ ดีแลบ ที่ทุ่มไกลเข้าไปในเขตโทษของหงส์แดง แต่ โฆเซ่ เรน่า ออกมาตัดบอลไว้ได้




     ทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 92 มาร์ค วิลสัน ปราการหลังทีมเยือนมาถูกอีกหนึ่งใบเหลืองจากการเข้าทำฟาวน์หนักเข้าใส่ เดิร์ก เค้าท์




      
เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติมจบเกม ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเฉือนเก็บชัยเหนือ สโต๊ค ชิตี้ ไปแบบสุดมันส์ 2-1 ส่งผลให้หงส์แดงผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จตามเป้าหมาย ลิเวอร์พูลจะไปยืนรอพบ ซันเดอร์แลนด์ หรือ เอฟเวอร์ตัน ขณะที่ เชลซี ไปยืนรอพบ สเปอร์ส หรือ โบลตัน 




11นักเตะของทั้งสองทีม


ลิเวอร์พูล(4-4-2):โฆเซ่ เรน่า,มาร์ติน เคลลี่,เจมี่ คาร์ราเกอร์,โฆเซ่ เอ็นริเก้,มาร์ติน สเคอร์เทล,เจย์ สเปียริ่ง,สตีเว่น เจอร์ราร์ด,มักซี่ โรดริเกซ,สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง,แอนดี้ คาร์โรล,หลุยส์ ซัวเรซ
สำรอง:อเล็กซานเดอร์ โดนี่,เซบาสเตียน โกอาเตส,เดิร์ก เค้าท์,ชาร์ลี อดัม,จอร์แดน เฮนเดอร์สัน,จอน ฟลานาแกน,จอนโจ เชลวี่ย์


สโต๊ค ซิตี้(4-4-2):โธมัส โซเรนเซ่น,แอนดี้ วิลกินสัน,โรเบิร์ต ฮูธ,ไรอัน ชอว์ครอสส์,มาร์ค วิลสัน,ไรอัน ช็อตตัน,ดีน ไวท์เฮด,เกล็น วีแลน,แม็ทธิว เอเธอริงตัน,โจนาธาน วอลเตอร์ส, ปีเตอร์ เคร้าช์
สำรอง:คาร์โล แนช,เคนเน็ธ โจนส์,เจอร์เมน เพนเนนต์,แมตธิว อัพสัน,รอรี่ ดีแลบ,คาเมรอน เจอโรม,วิลสัน ปาลาซิออส


ผู้ตัดสิน:เควิน เฟรนด์




สรุปผลฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ รอบก่อนรองชนะเลิศ
- เชลซี ชนะ เลสเตอร์  5 - 2 
- ลิเวอร์พูล ชนะ สโต๊ค ซิตี้  2 - 1


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น