สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ตัดสินใจเลื่อนเวลาคิกออฟเกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ จากแต่เดิมที่เคยเตะกันในเวลา 15.00 น . (ตามเวลาท้องถิ่น) ไปเป็นเวลา 17.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) หรือ 23.15 น. (ตามเวลาประเทศไทย)เป็นที่เรียบร้อย ทำเอาหลายฝ่ายต่างออกมาเฉ่ง เอฟเอ อย่างหนัก ที่ดันปรับเปลี่ยนประเพณีที่เคยมีมา
สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ประกาศ เมื่อวันจันทร์ที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมาว่า เกมเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ที่ ลิเวอร์พูล จะพบกับ เชลซี ณ สังเวียนแข้งเวมบลีย์ วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคมนี้นั้น จะเปิดฉากดวลแข้งกันในเวลา 17.15 น. (23.15 น. ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงจากประเพณีเดิม ที่เคยเริ่มเตะกันในเวลา 15.00 น. (21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย)
นี่จะนับเป็นครั้งแรก ที่การแข่งรอบชิงดำของ เอฟเอ คัพ ที่สนาม เวมบลีย์ จะไม่เริ่มเตะกันในเวลา 15.00 น. (ไม่นับรวมนัดรีเพลย์) ขณะเดียวกัน นี่ก็จะเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี ที่พ่อค้าแข้งของทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องดวลกันภายใต้แสงจากไฟของสปอร์ตไลท์เป็นหลัก โดยครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นต้องย้อนกลับไปถึงปี 1993 ที่ อาร์เซน่อล คว้าชัยเหนือ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ในเกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ นัดรีเพลย์ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคมของปีดังกล่าว หลังก่อนหน้านั้น 5 วันทั้งคู่เสมอกัน 1-1
อย่างไรก็ตาม การเลื่อนเวลาเตะในครั้งนี้ อาจนำไปสู่การอ้างได้มากขึ้นว่า เอฟเอ กำลังทำให้เกมชิงดำ ของศึกชิงถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในเกาะอังกฤษมีคุณค่าน้อยลง โดยหลายฝ่ายต่างออกมาวิจารณ์ถึงการตัดสินใจในครั้งนี้ ผ่านทาง "ทวิตเตอร์" เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังกันอย่างหนัก
คริส สเตียร์ส กล่าวว่า "ผมไม่เข้าใจว่า เอฟเอ คิดได้ยังไงที่ว่า การคิกออฟเกมรอบชิงชนะเลิศของบอลถ้วยในเวลา 17.15 น. จะเป็นความคิดที่ดี" ขณะที่ ทีดี มาร์กาเร็ต ทวีตว่า "เอฟเอ คัพ กำลังมีความพิเศษน้อยลงทุกที ตอนแรกก็เล่นรอบรองชนะเลิศกันที่ เวมบลีย์ แล้วตอนนี้ก็ชิงชนะเลิศกันในเวลา 17.15 น."
ด้าน รอสส์ แช็ปแมน กล่าวว่า "เกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ เตะกันในวันที่ 5 เดือน 5 แล้วคิกออฟกันในเวลา 17.15 น. ทำไมเป็นอย่างนั้นกันได้เนี่ย ? มันเป็นประเพณีแล้วที่เกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ จะเตะกันในเวลา 15.00 น." ส่วน มาร์ก โดโนแวน เผยว่า "สมาคมฟุตบอลอังกฤษ กำลังปล้นเอาประเพณีไปอีกอย่างหนึ่งแล้ว ด้วยการให้เกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ เตะกันในเวลา 17.15 น. นี่เป็นองค์กรที่ตลกจริงๆ"
ทั้งนี้ ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ยังไม่เคยพบกันในรอบชิงชนะเลิศมาก่อนเลย แม้จะเคยเจอหน้ากันมาในรอบตัดเชือกรวมแล้วถึง 43 หนก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น