วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หงส์สางแค้นโหด!เปิดรังถล่มสิงห์ไม่เลี้ยง4-1


"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เปิดบ้านชำระแค้น "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ได้สำเร็จโดยไล่ถล่มแบบไม่ยั้งเกือกจบที่ผลสกอร์ 4-1 เก็บสามแต้มเต็มส่งท้ายฤดูกาลในบ้านได้อย่างสวยหรู พร้อมทำแต้มขึ้นมาอยู่อันดับที่ 8 ตามหลัง เอฟเวอร์ตัน อริร่วมเมืองแต้มเดียว ขณะที่ ความพ่ายแพ้นัดนี้ของ เชลซี ทำให้พวกเขาหมดลุ้นติดอันดับ 1 ใน 4 ทันที ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันอังคารที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา

ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2555
ลิเวอร์พูล 4       -       1 เชลซี

สนาม : แอนฟิลด์
        เกมตกค้างของพรีเมียร์ลีก คู่เดียวในช่วงกลางสัปดาห์นี้ เป็นนัดล้างตาของ ลิเวอร์พูล ในการพบกับ เชลซี ภายหลัง "สิงโตน้ำเงินคราม" เพิ่งกำชัย 2-1 คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2012 ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
     

        "หงสแดง" ลิเวอร์พูล เหลือลุ้นเต็มที่แค่แย่งอันดับ 7 กับเพื่อนร่วมเมือง เอฟเวอร์ตัน เท่านั้น ซึ่งตอนนี้ตามอยู่ 4 แต้ม เท่ากับบังคับกลายๆ ว่าต้องชนะรวดใน 2 เกมที่เหลือ โดยเกมลีกล่าสุดพ่าย ฟูแล่ม คารัง 0-1 กลางสัปดาห์ที่แล้ว


        เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือหงส์แดง จัดทัพใหญ่ลงเกมนี้ โดยใช้ระบบ 4-4-2 แผงหลัง เซ็นเตอร์แบ็ค มาร์ติน สเคอร์เทค ยืนคู่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ แบ็คซ้าย เกล็ฯ จอห์นสัน แบ็คขวา แดเนียล แอ็กเกอร์ แผงกองกลางไม่มีชื่อของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ซึ่งประกอบไปด้วย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, มักซี่ โรดริเกซ, จอน โจ เชลวี่ย์ และ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ด้านคู่หน้าเป็นการประสานคมแข้งกันของ หลุยส์ ซัวเรซ กับ แอนดี้ แคร์โรลล์


        ข้ามฝั่งมาทาง "สิงโตน้ำงินคราม" เชลซี กำลังอยู่ในเส้นทางลุ้นทำดับเบิ้ลแชมป์ หลังสอยเอฟเอ คัพ ไปก่อนแล้ว และกำลังรอชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่อัลลิอันซ์ อารีน่า ในวันที่ 19 พ.ค.


        สถานการณ์ในลีกก็ยังพอได้ลุ้นอันดับ 4 อยู่ โดยตอนนี้ตามหลังท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 5 คะแนน เท่ากับบีบให้ต้องชนะ 2 นัดเช่นกัน และลุ้นแช่งทั้ง สเปอร์ส กับ นิวคาสเซิ่ล ให้พลาดในเกมสุดท้าย


        โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ กุนซือสิงโตน้ำเงินคราม ยังคงมีปัญหาสภาพทีมอยู่โดยเฉพาะในแผงหลัง ที่ ดาวิด ลุยซ์ กับ แกรี่ เคฮิลล์ เจ็บเอ็นหลังหัวเข่าอยู่ทั้งคู่ และกำหนดการฟิตกลับมาก็เพื่อที่จะเล่นนัดชิงฯ แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้น ยังไม่ทันเกมนี้ โดยเกมนี้ใช้ระบบ 4-2-3-1 ปราการหลังประกอบไปด้วย  แบ็กขวา เปาโล แฟร์ไรร่า แบ็กซ้าย ไรอัน เบอร์ทรานด์ เซ็นเตอร์คู่ใช้ จอห์น เทอร์รี่ กัล บรานิสาฟ อิวาโนวิช แผงกลางประกอบไปด้วย กลางรับ โอริโอล โรเมอู กับ ไมเคิ่ล เอสเซียง ปีกซ้าย ฟลอร็องต์ มาลูด้า ปีกขวา แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ กลางตัวหลักเติมเกมรุกเป็นหน้าต่ำ รามิเรส และ เฟร์นานโด ตอร์เรส รับบทหน้าเป้า




        เริ่มระเบิดคมแข้งกันในครึ่งเวลาแรก นาทีที่ 5 หงส์แดง ได้ลูกฟรีคิกบริเวณฝั่งขวาในแดน สิงห์บูลส์ เลยเส้นครึ่งสนามมาประมาณห้าหลาจากจังหวะตัดฟาวล์ของ แฟร์ไรร่า เข้าใส่ แคร์โรลล์


        นาทีที่ 7 สาวกหงส์แดงได้ลุ้นกันทั้งสนามเมื่อเกือบได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่ ซัวเรซ กระชากบอลแล้วแตะรอดขา เทอร์รี่ หลุดเข้าไปก่อนตัดสินใจซัดด้วยขวาแต่ถูกบอลไม่ดีบอลหักออกหลุดเสาไกลไปอย่างน่าเสียดาย


        ผ่านพ้นไป 10 นาที เป็น หงส์แดง ที่ครองเกมบุกได้มากกว่า สิงห์บูลส์ แต่การต่อบอลยังขาดๆ เกินๆ จึงทำให้หาจังหวะเข้าทำยังน้อยนิด


        นาทีที่ 14 ใบเหลืองแรกของเกมก็เกิดขึ้นเมื่อ หงส์แดงได้โต้กลับเร็ว โดย ซัวเรซ และเป็น แฟร์ไรร่า ที่เตะตัดขากลางสนาม เฟรนด์ กรรมการในเกมนี้ตัดสินใจควักใบเหลืองให้ทันที


        นาทีที่ 15  แคร์โรลล์ ได้จังหวะปั่นบอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ เชลซี เนื่องจาก เทิร์นบูลล์ ออกมาไกลแต่บอลข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย


        สิงห์บูลส์ โต้กลับบ้างและเกือบมาได้ประตูขึ้นนำเมื่อได้ลูกแตะมุมและเป็น อิวาโนวิช ขึ้นโขกแบบไร้ตัวประกบบอลพุ่งชนเต็มเสากระดอนออกไปอย่างไม่มีโชค


        ความพยายามของ หงส์แดง มาประสบความสำเร็จ นาทีที่ 19 เมื่อได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากความสามารถเฉพาะตัวของ ซัวเรซ ที่กระชากบอลริมเส้นฝั่งขวาแตะรอดขา อิวาโนวิช ไปถึงเส้นหลังก่อนเปิดบอลยัดเข้าไปและไปโดนตัว ไมเคิ่ล เอสเซียง บอลกระดอนเข้าประตูตัวเองไปแบบโชคไม่เข้าข้าง


        นาทีที่ 21 เทอร์รี่ มาถูกใบเหลืองที่สองของฝั่งสิงห์บูลส์ จากจังหวะไปดึงฟาวล์ แคร์โรลล์



        หงส์แดงมาได้ประตูนำเป็น 2-0 จากจังหวะจ่ายบอลครึ่งสนามของ มักซี่ โรดริเกซ ให้ เฮนเดอร์สัน หลุด เทอร์รี่ ที่อ่านบอลผิดพลาดเข้าไปดวล ตัวต่อตัวกับ เทิร์นบูลล์ ก่อน เฮนเดอร์สัน ตัดสินใจแปด้วยเท้าขวาเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างเลือดเย็น


        นาทีที่ 29 หงส์แดงยังคงโหมบุกอย่างต่อเนื่องและมาได้ประตูนำห่างเป็น 3-0 อย่างง่ายดายจากจังหวะที่ แคร์โรลล์โหม่งตั้งให้ แอ็กเกอร์ โขกโล่งๆ ไม่ถึง 6 หลาเข้าไปตุงตาข่าย



        หงส์แดง ยังคงไม่ผ่อนเกมบุกและมาได้ลุ้นอีกหนึ่งจังหวะนาทีที่ 31 เมื่อ ซัวเรซ ผ่านบอลให้ มักซี่ โรดริเกซ หลุดเข้าไปซัดด้วยซ้าย แต่เป็น เทิร์นบูลล์ ที่ปัดออกไปได้


        นาทีที่ 33 หงส์แดง โต้กลับเร็วและเกือบมาได้ประตูที่ 4 อีกครั้งเมื่อ แคร์โรลล์ หลุดเดียวเข้าไปในกรอบเขตโทษของสิงห์บูลลส์ก่อนซัดด้วยเท้าซ้ายเน้นๆ แต่ไม่ผ่านมือ เทิร์นบูลล์ ที่ปัดไว้ได้


        นาทีต่อมา สิงห์บูลส์ เกือบได้ประตูตีตื้นจากจังหวะที่ ตอร์เรส ได้ซัดด้วยเท้าขวาในกรอบเขตโทษทางฝั่งขวาเต็มข้อบอลพุ่งชนคานอย่างจังกระดอนออกไปอย่างน่าเสียดาย


        นาทีที่ 39 หงส์แดง ที่กำลังได้ใจมาได้ลุ้นอีกหนึ่งจังหวะจากการซัดไกลของ แคร์โรลล์ แต่บอลหลุดออกเสาไปไกลไม่ได้ลุ้น


        นาทีที่ 41 หงส์แดง เกือบได้ประตูนำห่างอีกครั้งจากจังหวะซัดไกลด้วยเท้าซ้ายของ สจวร์ต ดาวนิ่ง บอลพุ่งแรงตรงกรอบผ่านมือ เทิร์นบูลล์ ที่พุ่งบัดสุดตัวแต่ไม่ถึงก่อนบอลมุดลงแต่ไปชนคานออกไปอย่างน่าเสียดาย


        สิงห์บูลล์ที่ต้องตั้งรับเป็นส่วนใหญ่มาถูกใบเหลืองเป็นใบที่สามของทีมนาทีที่ 44 เมื่อ เอสเซียง ตัดฟาวล์โดยไปเตะเข้าใส่ด้านหลัง แคร์โรลล์


        ครึ่งแรกทดเจ็บออกไปเพียง 2 นาที และหงส์แดงมาได้จุดโทษนาทีที่ 46 จากจังหวะตั้งใจใช้ศอกทำฟาวล์ใส่ แคร์โรลล์ ของ อิวาโนวิช ในเขตโทษและเจ้าตัวถูกใบเหลืองอีกด้วย


        จากจังหวะดังกล่าวเป็น  สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ที่ขอรับหน้าที่สังหารจุดโทษโดยเจ้าตัววิ่งเข้าแปด้วยเท้าซ้าย เทิร์นบูลล์นายด่านเชลซีพุ่งผิดทางแต่บอลเจ้ากรรมดันพุ่งชนเสาอย่างจัง หงส์แดงชวดได้ประตูที่ 4 อย่างน่าเสียดาย และครึ่งเวลาแรกก็จบลงที่ ลิเวอร์พูล เปิดรังนำห่าง เชลซี 3-0


        กลับมาระเบิดความมันส์กันต่อในครึ่งเวลาหลังซึ่งทั้งสองทีมยังไม่มีรายงานการเปลี่ยนตัวแต่อย่างใด


        หงส์แดง ยังคงเดินเกมบุกอย่างต่อเนื่องและได้จังหวะรุกเข้าใส่ฝั่ง สิงห์บูลส์ อีกครั้งนาทีที่ 48 จากจังหวะที่ ดาวนิ่ง โยนบอลทางฝั่งขวาเลยไปเข้าหัว แคร์โรลล์ ขึ้นโหม่งตั้งบอลเข้ามาในเขตโทษ สิงห์บูลส์ แต่แผงหลังทีมเยือนเตะสกัดออกไปได้


        นาทีที่ 49 ทัพสิงห์มาได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 จากจังหวะลูกฟรีคิกบริเวณมุมกรอบเขตโทษทางฝั่งขวา มาลูด้า โยนบอลด้วยซ้ายจี้เข้าไปใส่กรอบประตู บอลโดนขา รามิเรส ก่อนไปถูก เรน่า ที่พยายามใช้ขายื่นสกัดแต่ไม่ทันเข้าไปตุงตาข่าย


        นาทีที่ 53 หงส์แดง ได้ลุ้นอีกหนึ่งจังหวะจากการซัดของ สเคอร์เทล แต่เป็น เทิร์นบูลล์ ยังไวพุ่งปัดเอาไว้ได้


        นาทีที่ 61 หงส์แดงมาขยับนำห่างเป็น 4-1 จากความผิดพลาดของ เทิร์นบูลล์ ที่เตะสกัดบอลไม่ดีไปเข้าทาง จอน โจ เชลวี่ย์ ที่ได้บอลแล้วไม่รอช้าซัดด้วยเท้าขวาเต็มข้อระยะประมาณ 35 หลา บอลพุ่งแรงตรงเสียบเข้าสามเหลี่ยมไปอย่างสวยงาม


        นาทีที่ 64 แคร์โรลล์ ถูกจับฟาวล์จากจังหวะพยายามขึ้นตีลังกายิงโดยมี โรเมอู เข้ามาสกัด กรรมการเห็นว่าเป็นการเล่นลูกอันตรายจึงให้ทัพสิงห์ได้บอลฟาวล์


        นาทีต่อมา หงส์แดง มาถูกใบเหลืองแรกของเกม จากการตัดฟาวล์ของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน


        นาทีที่ 67 สิงห์บูลส์ ปรับแผนการเล่นโดยการเปลี่ยนตัวสำรองคนแรก โดยส่ง โรเมโล ลูกาคู ลงมาแทน แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์


        หงส์แดง มาถูกอีกหนึ่งใบเหลืองนาทีที่ 70 คราวนี้เป็น แอ็กเกอร์ ที่เข้าเสียบสกัดฟาวล์ใส่ รามิเรส บริเวณริมเส้นฝั่งขวาในแดนเจ้าบ้าน



        นาทีที่ 72 ทัพสิงห์พลาดโอกาศได้ประตูไล่จี้ลูกที่ 2 อย่างเหลือเชื่อ จากจังหวะที่ ลูกาคู ได้โหม่งแบบไร้ตัวประกบไม่ถึง 5 หลาแบบเน้นๆ บอลพุ่งไปตรงตัว เรน่า ที่ใช้ปฏิกิริยาความไวปัดออกไปได้


        นาทีที่ 77 เกมหยุดไปชั่วขณะ จากจังหวะทำฟาวล์ของ ซัวเรซ ที่ใช้มือฟาดเข้าใส่หน้าของ อิวาโนวิช แบบเต็มๆ จนปรากราหลังทีมเยือนลงไปกองกับพื้นก่อน ซัวเรซ พยายามเข้าไปดูอาการและขอโทษ แต่ อิวาโนวิช ลุกขึ้นมาและไม่ยอมจับมือเนื่องจากอารมณ์ยังคงค้างอยู่


        เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย หงส์แดงมาได้ลูกฟรีคิกระยะประมาณ 30 หลา ทางด้านฝั่งขวาของกรอบเขตโทษเชลซี จากการตัดบอลฟาวล์ทางด้านหลังของ รามิเรส เข้าใส แอ็กเกอร์ และเป็น ซัวเรซ ที่รับหน้าที่สังหารปั่นไปติดกำแพงทีมเยือนไม่ได้ลุ้น

        หงส์แดง ตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้เล่น 2 คนพร้อมกัน โดยส่ง เดิร์ค เค้าท์ ลงมาแทน มักซี่ โรดริเกซ และอีกหนึ่งคนเป็นดาวรุ่งวัย 17 ปี ราฮีม สเตอร์ริ่ง ลงมาแทน สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง


        และ ราฮีม สเตอร์ริ่ง ลงมาสัมผัสบอลแรกด้วยการซัดด้วยเท้าซ้ายในกรอบเขตโทษทันทีแต่บอลเหินข้ามคานไปไกล


        นาทีที่ 88 หงส์แดง ยังเดินเกมบุกเข้าใส่ ซัวเรซ ไหลบอลต่อให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ตะบันด้วยขวาบอลไปถูก ไรอัน เบอร์ทรานด์ ออกไป


        สองนาทีต่อมา หงส์แดง มาได้ลุ้นอีกครั้งจากการประสานงานของ เดิร์ค เค้าท์ ที่ทำชิ่งกับ ซัวเรซ ก่อน ซัวเรซ หลุดไปดีดบอลด้วยขวาแต่บอลหลุดออกเสาไปอย่างน่าเสียดาย


        เกมนี้ทดเวลาบาดเจ็บออกไป 3 นาที และมาได้ลุ้นประตูอีกครั้งนาทีที่ 91 จากลูกเตะมุม ซัวเรซ รับหน้าที่เปิดบอลเลยไปเสาไกล แคร์โรลล์ วิ่งมาเก็บไว้ได้ก่อนเปิดเข้าไปด้วยเท้าซ้าย และจบที่ แดเนียล แอ็กเกอร์ ขึ้นโขกโล่งๆ บอลหลุดออกเสาไกลไปไม่ถึงสองหลา


        จบเกม ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเก็บชัยเหนือ เชลซี ไปแบบถล่มทะลาย 4-1 เก็บสามแต้มเต็มได้แบบสะใจส่งท้ายฤดูกาลในบ้านได้อย่างสวยหรู ทำแต้มขึ้นมาอยู่อันดับที่ 8 ตามหลัง เอฟเวอร์ตัน อริร่วมเมือง 1 คะแนน ขณะที่ เชลซี จากความพ่ายแพ้นัดนี้ทำให้พวกเขาหมดหวังที่จะลุ้นติดอันดับ 1 ใน 4 ทันที


รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม


        ลิเวอร์พูล (4-4-2) : โฆเซ่ เรน่า ; เกล็น จอห์นสัน, มาร์ติน สเคอร์เทล, แดเนียล แอ็กเกอร์, เจมี่ คาร์ราเกอร์ ; จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, มักซี่ โรดริเกซ, จอน โจ เชลวี่ย์,  สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ; แอนดี้ แคร์โรลล์, หลุยส์ ซัวเรซ

        สำรอง : อเล็กซานเดอร์ โดนี่,เซบาสเตียน โคอาเตส,เจย์ สเพียริง,มาร์ติน เคลลี่,เดิร์ค เค้าท์,เคร็ก เบลลามี่,ราฮีม สเตอร์ริ่ง

        ผู้จัดการทีม : เคนนี่ ดัลกลิช


        เชลซี (4-2-3-1) : รอสส์ เทิร์นบูลล์ ; เปาโล แฟร์ไรร่า, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, จอห์น เทอร์รี่, ไรอัน เบอร์ทรานด์ ; โอริโอล โรเมอู, ไมเคิ่ล เอสเซียง ; ฟลอร็องต์ มาลูด้า, รามิเรส, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ; เฟร์นานโด ตอร์เรส

        สำรอง : ฮิลาริโอ,แอชลี่ย์ โคล,แฟร้งค์ แลมพาร์ด,ฆวน มาต้า,โรเมโล ลูกาคู,ซาโลมง กาลู,แซม ฮัทชินสัน

        ผู้จัดการทีม : โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ


        ผู้ตัดสิน : เควิน เฟรนด์




L-C footyroom.com by footyroom

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น